Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

สบู่จากความสะอาดสู่ความงามแห่งผิวพรรณ

🌺สบู่จากความสะอาดสู่ความงามแห่งผิวพรรณสบู่ในยุคแรกทีไว้เพื่อการซักล้าง...
ทุกคนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ความเป็นมาของสิ่งนี้กันนัก นั่นก็คือ “สบู่”
ค้นหา
เริ่มด้วยคำว่า “สบู่” ในภาษาไทย เป็นคำที่แปลงมาจากคำว่า “soap” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากคำในภาษาละตินว่า “sapo” ที่หมายถึงสบู่เช่นกัน ในทางเคมี สบู่เป็นผลผลิตที่ได้จากปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของไขมันในตัวกลางที่เป็นด่างหรือปฏิกิริยาที่เรียกว่า Saponification หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าไขมันเจอกับด่างที่เป็นสารละลาย โซเดียม ไฮดรอกไซด์ (NaOH เรียกกันทั่วไปว่า โซดาไฟ) หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) หรือน้ำขี้เถ้าก็จะกลายร่างเป็นสบู่ได้ทั้งสิ้น

สบู่นั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่อารยธรรมยุคแรกๆของมนุษย์เราเลยทีเดียว คือตั้งแต่สมัยบาบิโลน เมื่อราว 2,800 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งนี้ก็เพราะมีการขุดพบไหใบหนึ่งซึ่งภายในมีเศษวัตถุที่มีส่วนประกอบของไขมันสัตว์ผสมกับขี้เถ้าไม้ เชื่อกันว่าการทำวัตถุที่ว่าขึ้นมาในยุคแรกๆนั้น ไม่น่าจะทำเพื่อการใช้ทำความสะอาดร่างกาย แต่สันนิษฐานว่าสำหรับใช้ทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้มากกว่า ในยุคต่อมาชาวฮีบรูก็ทำวัตถุคล้ายกันนั้นมาใช้เพื่อการซักล้างด้วย

ราวศตวรรษที่ 2 ชาวกรีกเริ่มรู้จักใช้สบู่เพื่อการรักษาโรคและทำความสะอาดร่างกาย ต่อเนื่องไปจนถึงยุคโรมันเรืองอำนาจ เชื่อกันว่ายุคนั้นชาวโรมันทำสบู่ขึ้นมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะชาวโรมันนิยมอาบน้ำกันอย่างยิ่ง แต่หลังจากสิ้นยุคโรมัน สบู่ก็เหมือนกับจะหายไปจากยุโรป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นในยุโรปหลายต่อหลายครั้ง เพราะการเป็นอยู่ที่สกปรกของผู้คนนั่นเอง
สบู่ อยู่เคียงคู่กับสตรีมาอย่างยาวนาน.ในศตวรรษที่ 7 
มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าการผลิตสบู่เกิดขึ้นอีกครั้งในสเปนและอิตาลี โดยทำจากไขมันแพะผสมกับขี้เถ้าจากไม้บีช และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันที่ฝรั่งเศสก็เริ่มทำสบู่จากน้ำมันมะกอก และหลังจากนั้นจึงเริ่มมีการผสมส่วนประกอบอื่นๆ เข้าไปเพื่อให้มีกลิ่นหอมขึ้นมา สำหรับใช้เพื่อการชำระล้างร่างกาย ว่ากันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สั่งตัดคอคนทำสบู่ไปถึงสามคน เนื่องจากสบู่ของพวกเขาทำให้พระฉวีเกิดอาการแพ้ขึ้นมา
ที่ตะวันออกกลางมีหลักฐานเป็นเอกสารที่บอกให้ทราบว่า ที่นั่นมีการผลิตสบู่ออกมาใช้กันแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และสบู่กลายเป็นสินค้าที่สำคัญในศตวรรษต่อมา แหล่งผลิตสำคัญอยู่ที่เมืองนาบลัส (Nablus แถบเวสต์แบงก์ ของปาเลสไตน์), ดามาสคัส (Damascus) และอัลเลปโป (Aleppo) ประเทศซีเรีย ซึ่งสบู่ที่ผลิตที่เมืองนี้มีเอกลักษณ์พิเศษ คือ จะใช้ส่วนผสมของน้ำมันมะกอกกับน้ำมันจากใบ Laurel ที่ให้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นสินค้าสัญลักษณ์เด่นของเมืองและสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำมาจนถึงทุกวันนี้...

ไปที่ประเทศอังกฤษบ้าง เมืองผู้ดีเริ่มทำสบู่ขึ้นมาใช้เองราวศตวรรษที่ 12 เช่นกัน และในปี ค.ศ.1633 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทรงพระราชทานสิทธิ์ในการทำสบู่แต่เพียงผู้เดียวแก่สมาคมผู้ผลิตสบู่แห่งเวสต์มินสเตอร์ 
(Society of Soapmakersof
Westminster) 
ซึ่งทำมาจากส่วนผสมของกรดไขมันจากพืชหรือสัตว์กับด่างที่ทำจากโพแทสเซียม ไฮดรอกไซด์ หรือ โซเดียม ไฮดรอกไซด์ แสดงให้เห็นว่ายุคนั้นการใช้สบู่ที่อังกฤษเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากแล้ว การใช้สบู่ที่อังกฤษเพิ่มมากขึ้นอีกในยุคของควีนเอลิซเบธที่ 1 ว่ากันว่าสมัยนั้นการใช้สบู่ของชาวเมืองผู้ดีใช้สบู่กันมากกว่าชาติใดๆ ในทวีปยุโรปทั้งหมด

ส่วนสบู่อย่างที่เราใช้กันในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 1 ความต้องการใช้สบู่เพื่อทำความสะอาดบาดแผลและซักล้างสิ่งสกปรกต่างๆ พุ่งขึ้นสูงมาก ขณะที่ส่วนผสมต่างๆ เพื่อทำสบู่กลับขาดแคลน นักวิทยาศาสตร์
ชาวเยอรมันจึงคิดค้นสบู่ที่มีส่วนผสมใหม่ขึ้นมาจากสารสังเคราะห์ต่างๆหลายชนิด ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ detergent หรือผงซักฟอกที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ด้วย ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว สบู่แบบที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ควรจะเรียกเป็นสารชำระล้างร่างกาย ไม่ใช่สบู่ เพราะส่วนผสมต่างกันมากเมื่อเทียบกับ soap หรือสบู่ในยุคก่อนหน้านั้น
ในโรงอาบน้ำของชาวโรมัน มีการใช้สบู่กันอย่างแพร่หลาย.

ส่วนกระบวนการผลิตที่ทันสมัยเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากผู้ผลิตรายใหญ่รายหนึ่งได้พัฒนากระบวนการผลิตจากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์แต่ละลอต เป็นเหลือเวลาเพียงวันเดียว
นอกจากนั้นยังมีผู้ผลิตรายใหญ่อีกรายหนึ่งในสหรัฐฯ ที่สร้างตำนานของสบู่คุณภาพขึ้นมาในปี ค.ศ.1925 โดยเน้นความหอมติดผิวและราคาไม่แพง ในชื่อที่บอกออกมาคนยุคนี้ก็ต้องร้อง “อ๋อ” นั่นก็คือ LUX ที่หมายถึงแสงสว่างในภาษาละติน บวกกับความหรูหราแบบ Luxury ของสบู่คุณภาพสูงมาตรฐานฝรั่งเศส จนกลายเป็นที่นิยมของผู้หญิงทั่วอเมริกา ในฐานะ “สบู่เพื่อความงามแห่งผิวพรรณ” และสร้างความนิยมข้ามทวีปไปที่ประเทศอังกฤษในปี 1928 จากนั้นขยายต่อไปในทุกทวีปครอบคลุมกว่า 100 ประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย และยังมี “ลักส์ สตาร์” ซึ่งก็คือดาราภาพยนตร์ระดับซุปเปอร์สตาร์ที่หลงใหลในเสน่ห์ของสบู่ยี่ห้อนี้กว่า 400 คนจากทั่วโลก อาทิ มาริลีน มอนโร, ออเดรย์ เฮปเบิร์น, เกรซ เคลลี ที่สร้างและส่งต่อแรงบันดาลใจให้เหล่าลักส์ สตาร์ และสาวๆทั่วโลกเป็นเจ้าของผิวหอมนุ่มเกินห้ามใจที่เริ่มตั้งแต่การอาบน้ำมายาวนานถึง 90 ปี จนขึ้นแท่นเป็นสบู่ที่ขายดีอันดับหนึ่ง คือราว 12 ล้านก้อนต่อวัน!

ทุกวันนี้เมื่อเดินไปดูตามชั้นวางขายสบู่ จะพบว่ามีสบู่จำนวนมากวางขายอยู่ ทั้งแบบก้อนและแบบเหลว ซึ่งสบู่บางแบบก็มีส่วนผสมหรือกลิ่นหอมบางชนิดเพื่อผลเฉพาะอย่างที่มากกว่าแค่ทำความสะอาดผิวกายหรือผิวหน้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุงผิว น้ำผึ้ง สมุนไพรหลากชนิด ฯลฯ แต่ส่วนประกอบหลักที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ น้ำหอมหรือน้ำมันชนิดต่างๆที่นำมาผสม แล้วสบู่ที่มีส่วนผสมต่างชนิดกันจะมีคุณประโยชน์ต่างกันอย่างไร?

ผมมีข้อมูลย่อๆ ที่สามารถนำไปประกอบการตัดสินใจซื้อสบู่มาให้ดูกันครับ

ปัจจุบันมีการผสมสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวหรือกลิ่นหอมเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับสบู่.น้ำหอมกลิ่นกุหลาบฝรั่งเศส ที่สกัดจากกลิ่นหอมหวานของกุหลาบเข้มข้น ผสานวัตถุดิบจากธรรมชาติกว่า 20 ชนิดที่ช่วยให้กลิ่นหอมติดผิวยาวนาน ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แก้อาการวิตกกังวล เหนื่อยล้า และช่วยสร้างความรู้สึกประทับใจให้กับผู้คนที่ได้อยู่ใกล้ชิดและสัมผัสผิว

น้ำหอมกลิ่นดอกมะลิ หอมหวาน นุ่มนวล ละมุนละไม ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย จิตใจปลอดโปร่ง ช่วยลดอาการซึมเศร้า และช่วยเพิ่มความมั่นใจ

น้ำหอมกลิ่นดอกกล้วยไม้ กลิ่นหอมที่นุ่มนวลเป็นธรรมชาติช่วยให้ระบบประสาทได้ผ่อนคลายจากความเครียดสะสม คืนความสดชื่นมีชีวิตชีวาแก่ผู้ใช้

น้ำมันหอมสกัดจากต้นสน มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อที่สะสมตามผิวหนัง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวหรือมีการอักเสบตามผิวหนัง นอกจากนั้นกลิ่นหอมสดชื่นเป็นธรรมชาติของมันยังช่วยทำให้ผ่อนคลาย และบรรเทาอาการสำหรับผู้มีปัญหาระบบทางเดินหายใจและไซนัสอักเสบ
มาริลีน มอนโร ในโฆษณาสบู่.
น้ำมันอัลมอนด์ มีประโยชน์มหาศาลเมื่อนำมาผสมกับสบู่ เช่น ลดริ้วรอย ลดจุดด่างดำบนผิวหนัง ขจัดสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ทำให้ผิวขาวใสขึ้น ฯลฯ
เกลือแร่ธรรมชาติ เหมาะมากสำหรับผู้มีผิวแห้งและผิวที่ขาดการดูแลรักษา เพราะเกลือแร่จะช่วยเติมแร่ธาตุต่างๆที่จำเป็นต่อผิวให้ผู้ใช้ และยังคืนความชุ่มชื้นใหม่แก่ผิวด้วย
สาหร่ายทะเล มีคุณสมบัติช่วยดูแลผิวพรรณได้เป็นอย่างดี เพราะวิตามินนานาชนิดในนั้นจะช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออก เผยให้เห็นผิวใหม่ที่ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม และช่วยขจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนต่างๆได้ดี

น้ำผึ้ง คืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ว่ากันว่าสูตรลับของคลีโอพัตราไม่ใช่การอาบน้ำนมเท่านั้น แต่เป็นน้ำนมผสมน้ำผึ้งด้วย
หน้าตาผลิตภัณฑ์สบู่ในอดีต.
น้ำมันรำข้าว ให้วิตามินอีมาก ทำให้สบู่มีความชุ่มชื้น บำรุงผิว ช่วยลดความแห้งของผิว
น้ำมันงา เป็นน้ำมันที่ให้วิตามินอี และให้ความชุ่มชื้น รักษาผิว แต่มีกลิ่นเฉพาะตัวที่หลายคนอาจไม่ชอบ
เพียงแค่อ่านส่วนประกอบที่ฉลากก่อนซื้อ เปรียบเทียบดูสักนิด จะช่วยให้เลือกหาสบู่ที่เหมาะกับตนเองได้มากยิ่งขึ้น ของดีที่ไม่ต้องจ่ายแพงมีให้เลือกซื้ออยู่มากมาย สามารถช่วยประหยัดรายจ่ายไปได้อีกส่วนหนึ่งครับ.
ข้อมูลโดย : ณัฐพล เดชขจร

รายการบล็อกของฉัน